
เคยเป็นไหมคะ ตั้งใจจะพูดสื่อสารกับใครสักคนอย่างดี แต่ลงเอยด้วยความผิดหวัง เศร้า เสียใจ โกรธ บาดหมาง ไม่ส่งผลดีทั้งต่อตัวเราตัวเขา เคยหาสาเหตุ หรือสงสัยไหมว่ามันเกิดจากอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนี้ทุกที ทั้งที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะไม่ให้เกิดปัญหาหรือการเข้าใจผิด ในช่วงชีวิตของทุกๆ คน คงต้องเคยพบปัญหาในด้านการสื่อสารอย่างแน่นอน และแล้วสายตาก็เหลือบมองเห็นคอร์ส “การสื่อสารอย่างสันติ ขั้นพื้นฐาน” ซึ่งเป็นหนทางสลายปัญหาการสื่อสารให้เบาบางลง หรือหมดไปได้แบบประทับใจจริงๆ
โดยไม่ได้กล่าวอ้างลอยๆ เพราะหลังจากเสร็จสิ้นการอบรม ช่วงเย็นของวันรุ่งขึ้น เพื่อนโทรมาหาดิฉัน… หลังจากคุยกันไปได้สักพัก ดิฉันขอวางสายก่อน เพื่อนที่กำลังเม้าท์มอยอย่างเมาหมัด ขึ้นเสียงเลยคะ “นี่เธอ!…ฉันกำลังคุยอยู่ เธอจะหยุดพูดกับฉันแล้วหรือ” ฉันเบรคอารมณ์เธอ ด้วยการพูดแบบช้าๆ นิ่มนวล ถามกลับไปว่า “เธอกำลังรู้สึกอะไรอยู่” เพื่อนหยุดกึก เธอพรั่งพรูความรู้สึกออกมา ฉันตอบรับด้วยความเข้าใจ เต็มใจฟัง เสียงเธอเริ่มสงบ เบาลง ฉันถามต่อเลย “เธอต้องการอะไรไหม” เธอเริ่มคุยแบบดีขึ้นเลย หลังจากนั้นฉันและเพื่อน เริ่มได้บทสรุปจากการถามความรู้สึก เข้าใจความรู้สึก และความต้องการของทั้งสองฝ่าย จนเพื่อนดิฉันระลึกชาติได้เองเลยว่า ความสัมพันธ์ในด้านความรักของเธอที่ผ่านมา ทำไมถึงล้มเหลว ผิดหวัง จนทำให้เข็ดขยาดกับความรักไปเลย
ที่กล่าวมานี้ ดิฉันได้นำเพียงแค่เทคนิคเดียวที่ได้รับจากการอบรมมาปรับใช้ ยังทำให้บรรยากาศของการสนทนาราบรื่น ลดการขัดแย้งได้ถึงขนาดนี้ จึงไม่แปลกใจเลย ถ้าได้นำทุกกระบวนการที่ได้เรียนรู้มาปรับใช้ทั้งหมด การสื่อสารอย่างสันติเกิดขึ้นได้ในทุกมิติอย่างแน่นอน
Marshall Rosenberg ท่านคือผู้ที่คิดค้นวิธีการสื่อสารที่เรียบง่ายและทรงพลัง สร้างความสัมพันธ์ที่เปี่ยมด้วยความกรุณา ในช่วงวัยเยาว์และวัยรุ่น ท่านมักจะถูกบูลลี่จากเพื่อนและผู้คนรอบตัว ในขณะเดียวกันท่านก็มองเห็นอีกกลุ่มคน ที่พยายามช่วยเหลือดูแลผู้อื่นที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อน ความสงสัยในความต่างนี้ นำพาไปสู่การเรียนรู้ จนตกผลึกมาเป็นกระบวนการที่ชื่อว่า NVC (Nonviolent Communication) ซึ่งถูกนำไปใช้ในการยุติความขัดแย้งระหว่างประเทศอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ มาแล้ว โดยวิทยากรที่นำกระบวนการเหล่านี้มาถ่ายทอดให้พวกเราได้เรียนรู้ ก็คือ คุณหลิน และคุณเหล่น ทั้งคู่มีความต่างแบบหยิน-หยาง ที่ผสมผสานกันแบบกลมกล่อม ทำให้บรรยากาศในการเรียนรู้สนุกสนาน เป็นกันเอง เข้าใจง่าย นำไปใช้ได้จริง
เริ่มด้วยให้ผู้เข้าอบรมทุกท่านได้ทำความรู้จักกันก่อน เพราะส่วนมากยังไม่รู้จักกัน มีบางท่านที่มาเป็นกลุ่มเนื่องจากเป็นพนักงานของบริษัทจัดส่งมาอบรม มีบางท่านที่เป็นแฟนคลับของเสมสิกขาลัยเคยมาอบรมคอร์สอื่นๆ บ้างแล้วผู้เข้าร่วมอบรมมีหลากหลายอาชีพ ทั้งคุณหมอ เภสัชกรที่เดินทางมาจากจังหวัดพิจิตร พนักงานบริษัท เจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์ ฯลฯพอรู้จักเพื่อนแล้ว คลาสได้นำพวกเราเข้าไปสู่ขบวนการการรู้จักตัวตนของตัวเองมากขึ้น ด้วยคำถาม “อะไรที่ทำให้เราอยากตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของแต่ละวัน” หาความต้องการจริงๆ เพราะมนุษย์ถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการ ไม่ว่าเราอยากจะทำอะไร เราสามารถเห็นความต้องการที่แท้จริง ซ่อนอยู่ในนั้นเสมอ
เพื่อเชื่อมโยงกับความต้องการ มาเรียนรู้ความรู้สึกกัน โดยส่วนตัวชอบเนื้อหาส่วนนี้มาก ซึ่ง NVC บอกไว้ว่า “แยกความรู้สึกออกจากความคิด” ความคิดกับความรู้สึกต่างกัน โดยความรู้สึกแยกได้ทั้งทางกาย ทางใจ เราให้เวลาตัวเองค่อยๆ เข้าใจความต่างของความคิดและความรู้สึกแบบใจเย็นๆ จนเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง ต้องบอกว่าส่วนนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การสื่อสารเข้าสู่โหมดสันติภาพได้จริงๆ บางสิ่งที่เราพูด หรือผู้อื่นพูด แล้วเราสามารถแยกได้ว่า เขากำลังรู้สึกอะไรอยู่กับสิ่งที่สื่อสารออกมา จะทำให้ข้าใจกันและกันได้มากขึ้น เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน จึงเล่นเกมทายใจ ให้เพื่อนในคลาสทายความรู้สึกในประโยคที่เราพูดว่า “เป็นแบบนี้ทุกทีเลย” ช่วงแรกพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ(เกรงใจไม่กล้าขึ้นเสียง) เพื่อนเข้าใจว่าเรามีความรู้สึกสงสารใครบางคน ซึ่งไม่ใช่ ก็เดินพูดประโยคเดิมกับเพื่อนคนใหม่ ด้วยน้ำเสียงใหม่ แข็งกราว ดุดัน ทีนี้ทายถูกเลยว่าเรากำลังมีความรู้สึกเบื่อ ไม่พอใจ เราได้แชร์ความรู้สึกนี้กับทุกคน วิทยากรเสริมให้ความรู้เพิ่มว่า ภาษาหรือประโยคที่พูด ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้แค่ 7% ส่วนน้ำเสียงที่ใช้ มีผลมากถึง 38% จริงมาก เห็นได้ชัดจากเกมที่เล่น และเวลามีใครเดาถูกว่าเรารู้สึกยังไง รู้สึกดีใจมาก ที่ยังมีคนเข้าใจ ชอบที่เรียนแล้ว ใช้จริงได้เลย เข้าใจเนื้อหาตรงจุดนั้นทันที
ไฮไลท์ต่อมาก็คือ การเล่นไพ่เม่นน้อย เพื่อการเข้าใจตัวเองและผู้อื่น เป็นการ์ดคำของความรู้สึก และการ์ดคำของความต้องการ มีรวมกันกว่า 100 ใบ ซึ่งแต่ละใบจะมีคำเรียกชื่อของความรู้สึก และความต้องการทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษพร้องภาพเม่นน้อยน่ารักที่แสดงท่าทางสื่ออารมณ์ต่างๆ ให้เข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้น โดยส่วนตัวเพิ่งรู้ว่า ชื่อที่ใช้เรียกความรู้สึกต่างๆ ของมนุษย์ มีมากมายหลากหลายมาก ส่วนวิธีการเล่นไพ่ก็คือเมื่อเราหรือผู้อื่นรู้สึกเช่นไร ก็เลือกหยิบไพ่จากสำรับนั้นออกมา จะทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของตัวเองและผู้อื่นได้ดีขึ้น พอรู้ความรู้สึกแล้ว ก็ตามไปดูสำรับไพ่ความต้องการต่อ ซึ่งมีการ์ดคำที่ใช้เรียกชื่อความต้องการอีกหลายสิบใบ ทำไมถึงสัมพันธ์กันสำหรับการ์ด 2 ประเภทนี้ ก็เมื่อเราเข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้น จะนำพาเราไปเห็นความต้องการในใจจริงๆ ได้อย่างแม่นยำ บางคนเขารู้สึกบางอย่างแล้วพูดออกมา ถ้าจับประเด็นได้ จะรู้ว่าเขาต้องการอะไร แล้วแปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ จนนำไปสู่การเจรจาแบบสันติสุข
สิ่งที่เข้มข้นมักจะนอนก้น (แก้ว, ถ้วย) อยู่เสมอ ใช่ค่ะ การอบรมในวันที่ 2 นี้ เข้มข้น สนุกสนาน สมจริง ด้วยการนำความรู้จากวันแรก และวันนี้มาปรับใช้ จำลองสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แล้วให้ผู้เข้าอบรมร่วมเป็นนักแสดง ซึ่งวิทยากรมีอุปกรณ์การแสดงมาให้พร้อม ทั้งสเลทคัทฉาก ที่คาดผมรูปหูของสัตว์ 2 ชนิด คือหมาป่า และยีราฟ เราได้รู้จักภาษาหมาป่า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การสื่อสารที่ดุดัน และภาษายีราฟ คือสัญลักษณ์ของการสื่อสารที่ใช้ปัญญา และความกรุณาทำไมถึงเลือกยีราฟมาเป็นสัญลักษณ์ในการสื่อสารแบบนุ่มนวลชวนน่าฟัง เพราะยีราฟชอบกินใบไม้ของต้นอาเคเซีย ที่มีแร่ธาตุสารอาหารที่ยีราฟต้องการ แต่ต้นอาเคเซีย มีหนามแหลมคมมาก ธรรมชาติจึงจัดสรรให้ยีราฟ มีน้ำลายที่สามารถละลายหนามแหลมให้อ่อนนุ่ม กลายมาเป็นอาหารที่ไม่ทำอันตรายต่อยีราฟ รู้สึกทึ่งกับธรรมชาติจัดสรรมากๆ หนามที่แหลมคม ก็เปรียบดั่งคำพูด ที่อาบฉาบลิ้นด้วยใบมีด ที่พร้อมบาดหัวใจให้เจ็บช้ำได้เสมอ ซึ่งไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ให้กับคนที่เลือกหยิบคำพูดของยีราฟมาใช้
แอคชั่น! ช่วงการแสดงถือเป็นไฮไลท์ของวัน สนุก มีเสียงหัวเราะ และลุ้น เพราะบางคู่ที่ออกไปแสดงโต้ตอบ เหมือนจะทะเลาะกันจริง อารมณ์โมโหเกิดขึ้นจริง และได้เห็นผลชัดเจนของการพูดทั้งแบบหมาป่า และยีราฟ ว่าเกิดผลตามมาอย่างไรบ้าง โดยตอนแรกคิดว่า เป็นแค่เพียงการแสดง อารมณ์ที่มากระทบกับเราน่าจะไม่มาก หรืออาจไม่เกิดขึ้นเลย ผิดคลาดมาก เพราะถึงช่วงที่ตัวเองต้องแสดงเป็นคนที่ถูกต่อว่า ด้วยคำพูดที่เรามีความอ่อนไหว กลับรู้สึกจะร้องไห้ออกมาตอนนั้น ต้องขอชมความเก่งของวิทยากร ที่มีจิตวิทยาสูงในการทำเวิร์คช็อป ให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจอย่างถ่องแท้จาการลงมือปฏิบัติจริง เห็นจริง รู้สึกได้จริง
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ชอบมากๆ ก็คือ ถ้าโดนต่อว่าแล้วไม่อยากตอบโต้เป็นคำพูด สามารถเลี่ยงความรุนแรงทางอารมณ์ที่จะเกิดขึ้นในใจ ด้วยการขยับปรับเปลี่ยนองศา ทิศทางการยืน หรือถอยห่าง ไม่ยืนปะทะกับพลังงานคำพูดจากอีกฝ่ายที่พุ่งตรงมาสู่เรา หลังจากลองนำหลักการนี้ไปใช้ รู้สึกใจเบาขึ้นมาทันที ทั้งหมดนี้เป็นแค่เพียงตัวอย่างของการอบรม ที่ส่วนตัวรู้สึกประทับใจ ยังมีรายละเอียดเนื้อหาที่น่าสนใจอื่นๆ อีก
ช่วงท้ายของคลาส เปิดใจสู่โหมดสงบ กลับมามองหาความต้องการจริงๆ จากส่วนลึกของหัวใจ ว่าสิ่งใดคือความต้องการอันแท้จริงในชีวิต อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราอยากตื่นขึ้นมาในทุกๆ วัน หามาสัก 3 สิ่ง แล้วลองจินตนาการ ถ้าได้สิ่งนั้นมา เราจะรู้สึกอย่างไร เหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่า “ชีวิตนี้ที่เกิดมา อะไรคือคุณค่าที่คู่ควร”
การเรียนรู้เกิดผลสมบูรณ์ได้เสมอด้วยการลงมือปฏิบัติจริง 2 วันในการอบรม ได้รับเครื่องมือของการสื่อสาร 2 รูปแบบ ทั้งเรื่องเนื้อหาความรู้ และแผ่นกระดาษเล็กๆ แต่ทรงพลัง ที่บรรจุคำของความรู้สึก และความต้องการเกือบจะทุกมิติของมนุษย์ ถ้าท่านมีความพร้อมเพื่อมอบของขวัญแห่งความสุข ความเมตตา สงบสุขให้แก่ตนเองและผู้คนรอบข้าง ก้าวเข้ามาสู่คลาสการสื่อสารอย่างสันติ (ขั้นพื้นฐาน) เพื่อรับมอบเครื่องมือให้คุณได้ไปสื่อสาร แบบลองถูก ไม่ต้องลองผิดอีกต่อไป
ท้ายนี้ขอขอบคุณเสมสิกขาลัย สถานที่จัดอบรมอบอุ่นเหมือนบ้าน มีอาหารว่างที่เป็นขนมไทย และขนมคลีน ดีต่อกายใจ ขอบคุณวิทยากรทั้งคุณหลิน และคุณเหล่น ที่ถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้แบบสนุกสนาน เข้าใจง่าย ใช้ได้จริง และขอบคุณเจ้าหน้าที่ของเสมสิกขาลัยทุกท่าน ที่ทำให้การจัดอบรมครั้งนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น จบลงอย่างสวยงาม